โปรแกรม HR ที่ครอบคลุมทั้งด้านการบริหารจัดการและการให้บริการมีความสำคัญสำหรับองค์กรในการสร้างและบริหารจัดการทรัพยากรบุคคลอย่างมีประสิทธิภาพ ดังนั้น ขอเสนอฟังก์ชันหลักที่ควรครอบคลุมในโปรแกรม HR ดังนี้
บริหารข้อมูลบุคคล: ฟังก์ชันการจัดการข้อมูลพนักงานเป็นหัวใจหลักของโปรแกรม HR ข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับพนักงาน เช่น ข้อมูลส่วนบุคคล ประวัติการทำงาน การศึกษา การฝึกอบรม และข้อมูลการประเมินผลการทำงาน เป็นต้น
การจัดการเวลาและการทำงาน: ช่วยในการติดตามเวลาทำงานของพนักงาน รวมถึงการบันทึกการลา การเข้า-ออกงาน และการจัดตารางทำงาน
การบริหารจัดการสิทธิประโยชน์: ช่วยในการจัดการและติดตามสิทธิประโยชน์ต่าง ๆ ของพนักงาน เช่น การลาพักร้อน การลาป่วย และการปรับข้อมูลส่วนตัว
การวางแผนและการจัดการทรัพยากรบุคคล: ช่วยในการวางแผนและการจัดการกับความต้องการทรัพยากรบุคคลในองค์กร รวมถึงการวางแผนการจ้างงาน การเลื่อนขั้น และการพัฒนาองค์กร
การประเมินประสิทธิภาพ: ช่วยในการติดตามและประเมินประสิทธิภาพของพนักงาน รวมถึงการตั้งเป้าหมาย การให้ข้อติชม และการวางแผนพัฒนาสมรรถนะ
การสื่อสารและการเชื่อมโยง: ช่วยในการสื่อสารภายในองค์กร รวมถึงการสื่อสารข้อมูล นโยบาย และข่าวสารที่เกี่ยวข้องกับทรัพยากรบุคคล
การจัดการฝึกอบรม: ช่วยในการวางแผน ดำเนินงาน และติดตามการฝึกอบรมและการพัฒนาทักษะของพนักงาน
ความปลอดภัยของข้อมูล: ให้ความสำคัญกับการรักษาความปลอดภัยของข้อมูลทรัพยากรบุคคล เพื่อป้องกันการแอบแฝงข้อมูลและข้อมูลสำคัญของพนักงาน
การบริหารจัดการทีม HR: ช่วยในการจัดการทีม HR โดยให้เครื่องมือที่ช่วยในการวางแผน การประเมิน และการพัฒนาทักษะของพนักงานในแผนก
ในยุคที่เทคโนโลยีก้าวกระโดดข้ามขอบเขตและการทำงานไร้พรมแดนเป็นสิ่งที่ทุกวันนี้เริ่มกลายเป็นความเป็นจริง สำหรับธุรกิจที่ต้องการปรับตัวให้เข้ากับยุคดิจิทัลนี้ การจัดการทรัพยากรบุคคล (HR) กลายเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง และความสำเร็จของการจัดการ HR มีผลต่อประสิทธิภาพและความเป็นไปได้ของธุรกิจอย่างมาก ด้วยการใช้เทคโนโลยีในการจัดการทรัพยากรบุคคล การปรับตัวกับการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีและแนวโน้มใหม่ๆ มีความสำคัญมากขึ้น และโปรแกรม HR ที่ใช้ง่ายและสำเร็จรูปกลายเป็นเครื่องมือสำคัญในการช่วยธุรกิจให้สามารถรับมือกับที่มาแรงเหล่านี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ หากมองในมุมมองของผู้ดูแลธุรกิจหรือผู้บริหาร ความสำเร็จของการจัดการ HR ไม่เพียงแค่การบริหารจัดการข้อมูลพนักงานและระบบการจ่ายเงินเดือนอย่างเดียว แต่ยังเกี่ยวข้องกับการสร้างวัฒนธรรมองค์กรที่สร้างสรรค์และสนับสนุนพนักงาน ทั้งนี้เพื่อให้พวกเขามีผลการทำงานที่ดีและมีความพึงพอใจในการทำงาน ดังนั้น ความสำเร็จของ โปรแกรมHR จึงไม่ได้วัดจากความสะดวกในการใช้งานเพียงอย่างเดียว แต่ยังเกี่ยวข้องกับความสามารถในการสร้างการเชื่อมโยงและการร่วมมือที่เติบโตขึ้นระหว่างพนักงานและองค์กร
ในยุคนี้ โปรแกรม HR ที่ใช้ง่ายและสำเร็จรูปจึงต้องมีลักษณะที่สอดคล้องกับความต้องการของธุรกิจที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา นอกจากความสามารถในการจัดการข้อมูลพนักงานและกระบวนการทางธุรกิจอื่นๆ โปรแกรม HR ควรมีความยืดหยุ่นในการปรับตัวตามความต้องการของธุรกิจ เช่น การสร้างรายงานที่กำหนดเองได้ การจัดการประสิทธิภาพของพนักงาน หรือการทำงานร่วมกับโมดูลอื่นๆ ในระบบของธุรกิจ อย่างไรก็ตาม การเลือกใช้โปรแกรม HR ที่เหมาะสมไม่ใช่เรื่องง่าย เนื่องจากต้องพิจารณาถึงความสอดคล้องกับความต้องการและโครงสร้างของธุรกิจ อีกทั้งยังต้องพิจารณาถึงความรวดเร็วในการปรับตัวกับการเปลี่ยนแปลงในอุตสาหกรรมและเทคโนโลยี และความสามารถในการใช้งานและการนำเสนอของผู้ใช้ทั่วไป มีฟีเจอร์สร้างรายงานที่กำหนดเองได้ ช่วยให้ธุรกิจสามารถวิเคราะห์ข้อมูลทรัพยากรบุคคลที่มีค่า นำไปสู่การตัดสินใจเชิงกลยุทธ์ที่ชาญฉลาด และปรับปรุงประสิทธิภาพการทำงานโดยรวม ตัวอย่างประโยชน์ที่สำคัญ ได้แก่:
1. การวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึก: โปรแกรม HR ที่มีประสิทธิภาพ ช่วยให้คุณสามารถดึงข้อมูลจากหลายแหล่ง รวมถึงข้อมูลพนักงาน ข้อมูลการจ้างงาน ข้อมูลการลา ข้อมูลการฝึกอบรม ข้อมูลประสิทธิภาพการทำงาน ฯลฯ คุณสามารถรวมข้อมูลเหล่านี้เพื่อสร้างรายงานที่กำหนดเอง ตอบคำถามเชิงกลยุทธ์ เช่น แนวโน้มการลางานเป็นอย่างไร? อัตราการลาออกของพนักงานอยู่ที่เท่าไหร่? ผลการฝึกอบรมมีประสิทธิภาพหรือไม่? ช่องว่างทักษะขององค์กรอยู่ที่ใด? โปรแกรมสวัสดิการใดที่ได้รับความนิยมมากที่สุด?
2. การตัดสินใจเชิงกลยุทธ์: เมื่อคุณมีข้อมูลเชิงลึก คุณสามารถตัดสินใจเชิงกลยุทธ์ที่ชาญฉลาด ตัวอย่างเช่น คุณอาจพบว่ามีอัตราการลาออกสูงในแผนกเฉพาะ ข้อมูลนี้สามารถกระตุ้นให้คุณดำเนินการเพื่อปรับปรุงขวัญกำลังใจของพนักงาน หรือเสนอแพ็คเกจสวัสดิการที่ดึงดูดใจมากขึ้น คุณยังสามารถใช้ข้อมูลเพื่อระบุช่องว่างทักษะ และพัฒนาโปรแกรมการฝึกอบรมที่ตรงเป้าหมาย
3. ปรับปรุงประสิทธิภาพ: โปรแกรม HR ที่มีประสิทธิภาพ ช่วยให้คุณระบุและแก้ไขปัญหาที่อาจส่งผลต่อประสิทธิภาพการทำงาน ตัวอย่างเช่น คุณอาจพบว่าพนักงานจำนวนมากใช้เวลาไปกับงานเอกสารที่ซ้ำซ้อน ข้อมูลนี้สามารถกระตุ้นให้คุณนำระบบอัตโนมัติมาใช้ หรือปรับปรุงกระบวนการทำงาน
4. ประหยัดเวลาและเงิน: โปรแกรม HR ที่มีประสิทธิภาพ ช่วยให้คุณประหยัดเวลาและเงินได้โดยการลดงานด้วยตนเอง ตัวอย่างเช่น คุณสามารถใช้ระบบเพื่อสร้างรายงานโดยอัตโนมัติ ส่งข้อความแจ้งเตือน และจัดการงานต่างๆ ผ่านระบบ myHR เช่น การขอลา การลาป่วย การเบิกเงินล่วงหน้า ฯลฯ
5. การปฏิบัติตามข้อกำหนด: โปรแกรม HR ที่มีประสิทธิภาพ ช่วยให้คุณปฏิบัติตามข้อกำหนดด้านกฎหมายและข้อบังคับที่เกี่ยวข้อง ตัวอย่างเช่น คุณสามารถใช้ระบบเพื่อติดตามเวลาทำงาน จัดการข้อมูลใบสมัครงาน และสร้างรายงานสำหรับหน่วยงานกำกับดูแล
การเลือกโปรแกรม HR ที่เหมาะสมต้องพิจารณาถึงโครงสร้างของธุรกิจอย่างละเอียด เนื่องจากโครงสร้างของธุรกิจมีความหลากหลาย และโปรแกรม HR ต่างก็มีคุณสมบัติและฟังก์ชันที่แตกต่างกันไป ดังนั้นการเลือกโปรแกรม HR ที่เหมาะสมจะต้องเน้นที่ปัจจัยต่อไปนี้:
ขนาดของธุรกิจ: ธุรกิจขนาดใหญ่ ที่มีพนักงานมากจำเป็นต้องใช้โปรแกรม HR ที่มีความยืดหยุ่นและสามารถใช้งานได้ในขนาดขององค์กรใหญ่ อาจจะต้องการระบบที่สามารถปรับตัวตามขนาดของธุรกิจได้โดยง่าย เช่น ระบบ HR บนคลาวด์ (Cloud-based HR system) ที่สามารถขยายขนาดได้ตามความต้องการ
โครงสร้างองค์กร: โปรแกรม HR ควรสอดคล้องกับโครงสร้างของธุรกิจ เช่น การมีหลายสาขา การทำงานแบบระยะไกล (Remote work) หรือโมเดลที่มีการจ้างงานแบบเฟล็กซ์ (Flexitime) ซึ่งต้องการระบบที่สามารถจัดการเวลาทำงานและการเข้าออกงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ความสามารถในการปรับแต่ง: โปรแกรม HR ควรมีความสามารถในการปรับแต่งเพื่อตรงตามความต้องการของธุรกิจ เช่น การเพิ่มโมดูลเพื่อการจัดการการสร้างหลักสูตรการฝึกอบรม (Training) หรือโมดูลที่ช่วยในการวิเคราะห์ข้อมูลและสร้างรายงานต่างๆ
ความสามารถในการปรับตัว: โปรแกรม HR ควรมีความยืดหยุ่นในการปรับตัวตามการเปลี่ยนแปลงของกฎหมายแรงงาน และนโยบายธุรกิจ เช่น การปรับตัวตามกฎหมายเกี่ยวกับความปลอดภัยและความเป็นส่วนตัวของข้อมูล
ความปลอดภัยของข้อมูล: โปรแกรม HR ควรมีระบบการรักษาความปลอดภัยของข้อมูลที่มีมาตรฐานสูง เนื่องจากข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับทรัพยากรบุคคลมีความลับและต้องการการปกป้องอย่างเหมาะสม
ราคา: การเลือกโปรแกรม HR ควรพิจารณาถึงความเหมาะสมของราคา โดยคำนึงถึงความต้องการและงบประมาณของธุรกิจในการลงทุนทางด้านนี้